กฎหมายไทยยังไงต่อ ? บอส อยู่วิทยา เสพโคเคนใกล้หมดอายุความ ตอนนี้เหลือแค่ข้อหาเดียว
นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส อยู่วิทยา” ที่ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต ถูกดำเนินคดีทั้งหมด 5 ข้อหา หมดอายุความไปแล้ว 3 ข้อหา และอัยการแสดงความกังวลว่า คดีเสพโคเคน กำลังจะหมดอายุความอีกคดี
คดีที่นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส อยู่วิทยา” ที่ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต ถูกดำเนินคดีทั้งหมด 5 ข้อหา ซึ่งคดีนี้ได้รับความสนใจอีกครั้ง
หลังพนักงานอัยการออกมาแสดงความกังวลว่า อีกคดีที่รื้อฟื้นพยานหลักฐาน จนส่งฟ้องนายวรยุทธได้ คือ คดีเสพยาเสพติดประเภทโคเคนจะหมดอายุความ ในวันที่ 3 ก.ย.นี้ แต่พนักงานอัยการยังไม่ได้หลักฐาน ที่เป็นที่อยู่และหลักแหล่งที่ชัดเจน จนนำไปสู่การขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนมาดำเนินคดี
ตำรวจสากลประสานงานหมายแดงของนายวรยุทธกับสมาชิกไปแล้ว 194 ประเทศ แต่ประเทศสมาชิกร้องขอให้ตำรวจไทยให้ข้อมูลที่ละเอียดและทันสมัยเพราะนายวรยุทธอาจเปลี่ยนแปลงข้อมูลในระบบ เช่น การใช้เอกสาร หรือ หนังสือเดินทางประเทศอื่น
ทำให้การตรวจสอบและยืนยันยากมากขึ้น ซึ่งตำรวจไทยจะพยายามเพิ่มเติมเข้าไปในระบบฐานข้อมูลตำรวจสากลให้มากขึ้นโดยเฉพาะข้อมูลไบโอเมทริกซ์ที่จำเป็นต่อการยืนยันตัวนายวรยุทธ
สำหรับ ข้อหาที่นายวรยุทธ ถูกแจ้งดำเนินคดี มีทั้งหมด 5 ข้อหา หมดอายุความไปแล้ว 3 ข้อหา คือ
1.ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด หมดอายุความ 3ก.ย.2556
2.ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย หมดอายุความ 3 ก.ย.2556
3.ข้อหาขับรถหลบหนี ไม่ให้ความช่วยเหลือ หมดอายุความ 3 กันยายน 2560
ส่วนข้อหาที่ยังไม่หมดอายุความ คือข้อหาเสพโคเคน ที่จะหมดอายุความวันที่ 3 ก.ย.2565 หรืออีก 8 เดือนต่อจากนี้ และข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ออกมาบังคับใช้ โดยยกเลิกพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษปี 2522 ทั้งหมด แล้วเขียน หมวดว่าด้วยเสพยาเสพติดประเภท 5 ใหม่ไว้ในมาตรา 104 ของกฎหมายดังกล่าวระบุว่า ห้ามไม่ให้ผู้ใดเสพยาเสพติดประเภท 2 (โคเคน) หากผู้ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ ตามมาตรา 162 คือมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี
ทำให้อายุความคดีจาก 10 ปี ลดเหลือ 5 ปี ทำให้คดีของนายวรยุทธในข้อหาเสพโคเคนหมดอายุความโดยอัตโนมัติ ดังนั้นในปัจจุบันคดีของนายวรยุทธ เหลืออยู่เพียงข้อหาเดียวคือ
การขับรถโดยประมาท ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จะหมดอายุความวันที่ 3 ก.ย. 2570
ที่มา :https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_7193462 :https://news.thaipbs.or.th/content/312072