FED คือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ผู้มีหน้าที่ในการดูแล ควบคุมระบบเงิน และเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อประเทศอื่นไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ด้านการเมือง หรือเศรษฐกิจ 1 ในประเทศเหล่านั้นก็คือ Thailand ประเทศเรานั้นเอง
Quantitive Easing (QE) นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (ภาวะเงินฝืด)
- ซื้อสินทรัพย์
- พิมพ์เงินเพิ่ม
- ซื้อพันธบัตร
- ลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อฉีดสภาพคล่องเข้าระบบการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ
Quantitive Tightening (QT) นโยบายการเงินแบบตึงตัว (ภาวะเงินเฟ้อ)
- ขายสินทรัพย์
- ลดพิมพ์เงิน
- ขายพันธบัตร
- เพิ่มอัตราดอกเบี้ย เพื่อนําเงินออกจากระบบ
ปฏิทินประชุม Fed 2565 ข้อมูลมาจากสัญญา Fed Fund futures เป็นมุมมองของนักลงทุน ไม่ใช่ Fed Dot Plot ที่เป็นมุมมองของ Fed
4 พฤษภาคม 2565 แนวโน้มในการขึ้นดอกเบี้ย 0.5-0.75%
15 มิถุนายน 2565 แนวโน้มในการขึ้นดอกเบี้ย 1%
27 กรกฎาคม 2565 แนวโน้มในการขึ้นดอกเบี้ย 1.25%
2 พฤศจิกายน 2565 แนวโน้มในการขึ้นดอกเบี้ย 1.50%
14 ธันวาคม 2565 แนวโน้มในการขึ้นดอกเบี้ย 1.75%
ยกตัวอย่าง
วันที่ 4 พ.ค. 2565 นักลงทุน 57.2% ของทั้งหมดที่ทาย คาดดอกเบี้ยจะขึ้นอีก 1 ครั้งมาอยู่ที่ 0.75% (นับขอบบน)
วันที่ 15 มิ.ย. 2565 ส่วนใหญ่คาดดอกเบี้ยจะขึ้นรวดเดียวจาก 0.75% ไปที่ 1.25% เลย
.
สิ้นปีการประชุมครั้งสุดท้าย 14 ธ.ค. 2565 คาดดอกเบี้ยจะขึ้นไปที่ 2.25%
.
ในแต่ละวันที่ในปฏิทินถ้าดอกเบี้ยขึ้นมากกว่าคาดมีสิทธิ์ส่งผลต่อราคาทรัพย์สินได้ เช่น
ถ้าขึ้นมากกว่าคาดหุ้นเทค Start-up ก็มีสิทธิ์ถูกกระทบอีก
กลับกันพันธบัตรรัฐบาลตัวอายุสั้นก็จะน่าสนใจมากขึ้น
.
ทางด้านปัจจัยกดดัน Fed ให้ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดคือ เงินเฟ้อ ซึ่งดูแล้วคงไม่ชะลอตัวง่ายๆ เพราะสงครามยูเครนปะทุขึ้นมา
ในทางตรงข้าม การเมืองเป็นตัวบีบไม่ให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยเร็วนักเพราะรัฐบาลกำลังต้องการงบก้อนใหญ่ไปลงทุน Infrastructure และปัจจุบันสหรัฐมีหนี้มหาศาลจนไม่อาจรองรับดอกเบี้ยที่สูงนัก
คำเตือน: Fed มีโอกาสเรียกประชุมฉุกเฉินเพื่อขึ้นหรือลดดอกเบี้ยนอกวันในปฏิทินถ้าถูกกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจ
ข้อมูลจาก : BottomLiner – บทสรุปการลงทุน