Blockchian Layer 3 คืออะไร มีความจำเป็นแค่ไหน? :แนวทางแบบ layerในขอบเขตของ เทคโนโลยี บล็อกเชนเป็นทั้งข้อพิสูจน์ถึงความคล่องตัวและการตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของโลกที่มีการกระจายอำนาจ กำลังปรับโฉมอุตสาหกรรมและเปลี่ยนแปลงวิธีการส่งข้อมูลทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เข้าใจถึงนวัตกรรมและศักยภาพของเลเยอร์ที่สามอย่างแท้จริง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานที่เลเยอร์นั้นตั้งอยู่
บล็อกเชนมีหลาย “เลเยอร์” หรือระดับที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์
- Layer 1 (Blockchain Protocol Layer): บล็อกเชนที่อยู่ในระดับนี้คือบล็อกเชนพื้นฐานที่มีโปรโตคอล (protocol) ที่ใช้ในการสร้างบล็อก, การตรวจสอบธุรกรรม, และการตรวจสอบความถูกต้องของบล็อก. Bitcoin และ Ethereum คือตัวอย่างของบล็อกเชนใน Layer 1.
- Layer 2 (Scaling Solutions): เลเยอร์นี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาประสิทธิภาพของบล็อกเชน, โดยใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกรรม, ลดค่าธรรมเนียม, และเพิ่มความเร็ว. Lightning Network สำหรับ Bitcoin และ Layer 2 solutions อื่น ๆ สำหรับ Ethereum เป็นตัวอย่าง.
- Layer 3 (Application Layer): เลเยอร์นี้คือส่วนที่มีการพัฒนาแอปพลิเคชัน (dApps) หรือโปรแกรมที่ใช้บล็อกเชนเป็นพื้นฐาน. การพัฒนาในเลเยอร์นี้มักจะเกี่ยวข้องกับการสร้างแอปพลิเคชันที่ใช้บล็อกเชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางธุรกิจหรือสังคม, เช่น decentralized finance (DeFi) หรือ supply chain management.
ความจำเป็นของ Layer 3 อยู่ที่การสร้างแอปพลิเคชันที่ให้ประโยชน์จริงแก่ผู้ใช้งาน โดยที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ. Layer 3 ช่วยให้บล็อกเชนไม่เป็นเพียงเครื่องมือทางการเงินเท่านั้น, แต่ยังเป็นพื้นฐานที่สามารถนำไปใช้ในหลายๆ ส่วนสำหรับการพัฒนาและปรับใช้เทคโนโลยีนี้ในส่วนต่างๆ ของการดำเนินงานทางธุรกิจและสังคม.
Blockchain Layer 3 มีผลกระทบมากมายทั้งในด้านเศรษฐกิจ, สังคม, และเทคโนโลยี ซึ่งต่อไปนี้คือบางผลกระทบที่สำคัญ:
- การเปลี่ยนแปลงในวิธีการทำธุรกรรมทางการเงิน: Blockchain Layer 3 ช่วยความเพิ่มความเชื่อมั่นทางการเงินและลดความจำเป็นในการใช้บริการธนาคารหรือผู้กลางทางการเงิน. การใช้เทคโนโลยี blockchain ในส่วนของ decentralized finance (DeFi) ช่วยให้ผู้คนสามารถทำธุรกรรมการเงินโดยไม่ต้องผ่านทางธนาคารและมีความโปร่งใสมากขึ้น.
- การเพิ่มความมั่นคงและความปลอดภัย: Blockchain Layer 3 มักมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ, ซึ่งช่วยลดการฉ้อโกงและการปลอมแปลงข้อมูล. นอกจากนี้, การใช้ smart contracts ใน blockchain ช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากข้อผิดพลาดมนุษย์.
- การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างอุตสาหกรรม: Layer 3 สามารถสร้างโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่หรือปรับปรุงโครงสร้างที่มีอยู่แล้ว, ทำให้มีการทำธุรกรรมทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น. เช่น, ในด้านการจัดการโซ่อุปทาน (supply chain management), blockchain ช่วยในการติดตามและการระวางการทำงานของสินค้าตลอดทาง.
- การสนับสนุนในการสร้างแอปพลิเคชันที่ใหม่: Layer 3 นำมาให้โปรแกรมเมอร์และนักพัฒนามีโอกาสในการสร้างแอปพลิเคชันที่ใหม่และนวัตกรรม. การมีการพัฒนาในเลเยอร์นี้ช่วยในการสร้างโซลูชันที่สามารถแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้.
- การทำให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมมีความเป็นเทคโนโลยี: Blockchain Layer 3 สามารถสร้างโอกาสให้กับผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคารในการเข้าถึงบริการทางการเงิน, ลดความต้องการในการให้ข้อมูลส่วนตัวต่อบุคคลที่ไม่จำเป็น, และสร้างระบบที่มีความโปร่งใสมากขึ้น.
นอกจากนี้, ผลกระทบของ Blockchain Layer 3 ยังขึ้นอยู่กับวิธีการดำเนินการและวิธีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในแต่ละประเทศหรือองค์กร.
ขอบคุณที่มา:Cointelegraph